ดร.ดาริกา ลัทธพิพัฒน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (มธบ.) และประธานกรรมการบริหาร โรงเรียนนานาชาติ เวลลิงตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ ให้สัมภาษณ์ถามตรงตอบตรงในรายการ Woody FM ถึงการศึกษาไทยในหลากหลายแง่มุม และภาพรวมการศึกษาไทย ว่า ปัจจุบันเปลี่ยนไปมาก เมื่อ 30 ปีที่แล้ว เด็กเกิดในเมืองไทยเกือบล้านคนต่อปี ทุกวันนี้เหลือประมาณ 5 แสนคน มีผลกับเด็กที่เข้าเรียนในโรงเรียน และมหาวิทยาลัย เกิดการแข่งขันดุเดือด นอกจากนี้ คนรุ่นใหม่ยังมีแนวคิดโตเป็นผู้ใหญ่ไวขึ้นกว่าเมื่อก่อน บางคนทำงานหาเงินได้ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ สถาบันการศึกษาอย่างมหาวิทยาลัยต้องทำให้เห็นว่าเราสามารถสนับสนุน และส่งเสริมเขาได้อย่างไรบ้าง มาเรียนแล้วต้องได้อะไรกลับไปมากกว่าแค่ปริญญา
“ถ้ามีพลังวิเศษในการแก้ปัญหาระบบการศึกษาไทย จะเลือกพัฒนาระดับโรงเรียนก่อน เพราะเวลาพูดถึงคุณภาพการศึกษาว่าดีหรือไม่ดี จะมองที่การเรียนระดับโรงเรียน ไม่ใช่ระดับมหาวิทยาลัย ถ้าอยากแก้ปัญหาคุณภาพการศึกษา ต้องลงไปดูที่ระดับโรงเรียนก่อนเป็นอย่างแรก เป็นพื้นฐานของระบบการศึกษาที่สำคัญที่สุด สำหรับประเทศไทยคงเห็นแล้วว่าเราเจอปัญหาหลายๆ เรื่อง ที่ทำให้การศึกษาไทยยังไม่ดีพอ” ดร.ดาริกากล่าว
ดร.ดาริกากล่าวอีกว่า ภาพรวมโรงเรียนส่วนใหญ่ในไทยเป็นโรงเรียนของรัฐ ดังนั้น เวลาเราพูดถึงคุณภาพการศึกษาของไทย เราจึงมองไปที่คุณภาพของโรงเรียนรัฐเป็นสำคัญ ทั้งนี้ การศึกษาในโรงเรียนรัฐมีปัญหาค่อนข้างซับซ้อน แต่เรื่องหลักๆ ที่หากแก้ไขได้ จะทำให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้น และทำให้ปัญหาหลายๆ อย่างที่เจออยู่ คลี่คลายลงไปได้ คือ
1.กระจายอำนาจในการบริหารโรงเรียน เพราะโรงเรียนรัฐมีการบริหารจัดการแบบรวมศูนย์ ไม่กระจายอำนาจไปยังพื้นที่ ทำให้แก้ปัญหาได้ไม่ตรงจุด
2.เปลี่ยนวิธีการจัดสรรงบประมาณ ค่าเล่าเรียนและสวัสดิการนักเรียนต้องให้กับเด็ก หรือผู้ปกครองโดยตรง เมื่อผู้บริโภคเป็นคนเลือกโรงเรียนเอง จะทำให้ทุกๆ โรงเรียนพยายามยกระดับตัวเองให้มีคุณภาพมากที่สุด นอกจากนี้ งบพัฒนาโรงเรียนก็ไม่ควรจัดสรรให้โรงเรียนแบบให้มากหรือน้อยตามจำนวนนักเรียนในโรงเรียน เพราะโรงเรียนขนาดเล็กมักจะได้เงินน้อยตลอดกาลและก็จะยิ่งแย่ลงไปอีก และ
3.ควบรวมโรงเรียนเล็กให้เป็นลักษณะโรงเรียนแม่ข่าย/ลูกข่าย เพราะไทยมีโรงเรียนขนาดเล็กจำนวนมาก ทำให้การกระจายงบประมาณไม่มีสิทธิภาพ งบไม่เพียงพอ ขาดบุคลากร เกิดปัญหาครูไม่ครบชั้นปี ไม่ครบห้อง
ดร.ดาริกากล่าวว่า ครูมีความสำคัญกับเด็กมาก นอกจากครูจะต้องเข้าใจการสอน เป็นผู้สนับสนุนการเรียนรู้ ที่ไม่ใช่แค่การสอนแบบท่องจำ ครูยังต้องมี Passion ในการพัฒนาเด็ก และเข้าใจว่าวิธีไหนเหมาะสมกับเด็กด้วย เพราะต่อให้นำหลักสูตรที่ดีที่สุดมา Copy & Paste เช่น หลักสูตรของโรงเรียนอินเตอร์มาใช้กับโรงเรียนไทยก็ทำไม่ได้ เพราะสำคัญยิ่งกว่าตัวหลักสูตรคือ คุณภาพครู
ดร.ดาริกากล่าวต่อว่า สำหรับความเป็นไปได้ที่จะใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาเป็นครูแทนคนนั้น เป็นไปได้เพียงระดับหนึ่ง เพราะสิ่งที่ AI ไม่มีคือองค์ประกอบความเป็นมนุษย์ การปฏิสัมพันธ์ การชักจูง การโน้มน้าว เป็นสิ่งที่ AI ทำได้ไม่เท่ามนุษย์ ในวันนี้จึงยังไม่เห็นว่า AI จะมาแทนที่ครูได้ โดยเฉพาะสำหรับเด็กเล็กที่อยู่ในวัยเรียนรู้จากการเข้าสังคม และคนรอบข้าง ยิ่งเป็นเรื่องยาก ทั้งนี้ ในวันข้างหน้า หาก AI สามารถทำได้ดี ก็ยังอยากมีชีวิตอยู่เพื่อรอดูด้วยตาตัวเอง
“สิ่งที่อยากเห็นในอนาคตเกี่ยวการศึกษาไทย อยากเห็นเด็กไทยมีแรงบันดาลใจ มีความอยากเรียนรู้ตลอดเวลา ไม่อยากเห็นการเรียนแบบกดดันจนเกินไป อยากเห็นเด็กเรียนรู้แบบ Relax มีความอยากรู้อยากเห็น โดยครูมีหน้าที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็ก ไม่ดับฝัน หรือกำหนดแบบแผนเยอะจนเด็กดิ้นออกจากเส้นทางไม่ได้ อยากเห็นเด็กที่คิดแตกต่าง ทุกคนไม่ได้คิดเหมือนกัน อยากเห็นโรงเรียนที่ไม่ได้เตรียมเด็กเข้ามหาวิทยาลัยอย่างเดียว เพราะการศึกษาเป็นแผนระยะยาว เป้าหมายไม่ใช่แค่นั้น แต่ในอนาคตเขาทำอะไรได้บ้าง ทำอะไรให้กับสังคมบ้าง มีความสุขยังไง อยากเห็นเด็กไทยเป็นแบบนี้มากกว่า ไม่สนว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ได้มากน้อยแค่ไหน แน่นอนว่าเข้าได้ก็ดี บ่งบอกถึงความรอบรู้ แต่ไม่ใช่ทุกคนมองมิตินั้นมิติเดียว” ดร.ดาริกากล่าว
ที่มา ; ,มติชนออนไลน์ วันที่ 14 กรกฎาคม 2566