เลขาธิการ ก.ค.ศ. ยืนยันต่อคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร ว่า PA ลดเอกสารจริง

รศ.ดร. สุรวาท ทองบุ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ได้ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎรเพื่อหารือ หาทางช่วยเหลือ แก้ปัญหา บรรเทาความเดือดร้อนของครู จากการรับคำสั่งหน่วยงานต้นสังกัดและหน่วยงานภายนอกอื่น ให้ปฏิบัติงานล้นกำลังที่จะปฏิบัติการได้ เบียดบังเวลาในการจัดการเรียนการสอน ขาดขวัญกำลังใจ

โดยขอให้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือเป็นวาระเร่งด่วน การประชุม กมธ.กรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2564 ได้เชิญตัวแทน สพฐ. และ ก.ค.ศ. มาร่วมประชุมเพื่อหารือหาทางช่วยเหลือตามหนังสือที่ยื่น โดย รศ.ดร. สุรวาท ทองบุ ได้ตั้งข้อสังเกตและข้อเสนอประเด็นหารือเพื่อแก้ปัญหาภาระงานครูล้นและปัญหาการประเมินวิทยฐานะแบบ PA กับ สพฐ. และ ก.ค.ศ. ดังนี้

ข้อสังเกตและข้อเสนอประเด็นหารือกับ สพฐ.

1. สพฐ. ควรยกเลิกหรืองดโครงการ กิจกรรมที่ทำให้โรงเรียนได้รับคำสั่งให้ดำเนินการซึ่งเป็นการเบียดบังเวลาในการจัดการเรียนการสอนของครู เช่น การสำรวจ การประชุมชี้แจง การอบรม การสัมมนา การรับนิเทศติดตาม การรายงาน การรับประเมิน การประกวด การแข่งขัน จัดแสดงผลงาน เป็นต้น

2. หากยังจำเป็นต้องดำเนินโครงการหรือกิจกรรม ควรปรับกิจกรรมหรือโครงการไม่ต้องให้ดำเนินการตามข้อ 1 ทำเท่าที่จำเป็น

3. ควรลดงบประมาณค่าดำเนินงาน ในโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ ของ สพฐ. จาก 1.5 หมื่นล้านบาท เหลือ 500 ล้านบาท แล้วนำไปจัดสรรให้กับโรงเรียน

4. ลดบุคลากร ของ สพฐ. และเขตพื้นที่ให้เหลือน้อยที่สุด แล้วโอนบุคลากรไปที่โรงเรียนและโอนงบประมาณไปตั้งไว้ที่โรงเรียนให้มากที่สุด

5. ควรมีการบรรจุแต่งตั้งผู้อำนวยการสถานศึกษา ธุรการ ภารโรง ให้ครบโรงเรียน บรรจุแต่งตั้งครูให้ครบชั้น ครบวิชา เป็นไปตามหลักเกณฑ์อัตรากำลังของโรงเรียน (ว23) จากข้อหารือในประเด็นที่เสนอ ตัวแทน สพฐ. รับไปพิจารณา

ส่วนข้อสังเกตและข้อเสนอประเด็นหารือกับ ก.ค.ศ.

1. การดำเนินการตามข้อตกลงจะส่งผลต่อคุณภาพนักเรียนจริงหรือไม่ และครูได้รับการพัฒนาจริงหรือไม่

 2. การเตรียมการรับการประเมินตามลักษณะงานที่ปฏิบัติตามมาตรฐานตำแหน่ง ระดับการปฏิบัติที่คาดหวัง ริเริ่ม พัฒนา (Originate & Improve) ครูต้องเสียเวลาในการเตรียมหลักฐาน เอกสาร มากหรือไม่

 3. รอบการประเมินไม่สอดคล้องกันระหว่างปีงบประมาณกับปีการศึกษา เนื่องจากการทำข้อตกลงในการพัฒนางานจัดทำตามปีงปบประมาณ ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 30 กันยายนของปีถัดไป ในขณะที่การวางแผนการจัดการเรียนการสอนมีการเปิดภาคการศึกษา 16 พฤษภาคม – 30 เมษายน ของปีถัดไป จะพิจารณาอย่างไร

4. การประเมินใช้กรรมการจำนวนมาก จะมีปัญหาในการบริการจัดการและมีงบประมาณในการดำเนินงานหรือไม่

5. การจัดทำไฟล์นำเสนอวีดิทัศน์บันทึกการสอน และไฟล์นำเสนอวีดิทัศน์ที่แสดงให้เห็นถึงปัญหา ที่มา หรือแรงบันดาลใจในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กำหนดเงื่อนไขจุกจิกเกินไปหรือไม่

6. ระยะเวลาในการขอเลื่อนวิทยฐานะ และเกณฑ์การลดเวลา อาจผ่านได้ยาก เพราะต้องได้รับผลการประเมินปฏิบัติงานในระดับดีเด่น 4 รอบ ยากเกินไปหรือไม่

รศ.ดร. ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการ ก.ค.ศ. ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมต่อกรรมาธิการ ดังนี้

 1. ก.ค.ศ.ยืนยันในหลักการหากครูดำเนินการตามข้อตกลงจะส่งผลต่อคุณภาพนักเรียนและครูได้รับการพัฒนาจริง

2. การเตรียมการรับการประเมินตามลักษณะงานที่ปฏิบัติตามมาตรฐานตำแหน่ง ระดับการปฏิบัติที่คาดหวัง ริเริ่ม พัฒนา (Originate & Improve) ครูไม่ต้องเสียเวลาในการเตรียมหลักฐาน เอกสาร เพราะการดำเนินการต่าง ๆ ครูต้องทำอยู่แล้ว โดยมีผู้บริหารติดตามรับรู้การปฏิบัติงานตลอดปีเป็นระยะ

3. เงื่อนไขการส่งไฟล์นำเสนอการสอนและไฟล์นำเสนอปัญหา ที่มา หรือแรงบันดาลใจในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จะส่งกรณีขอเลื่อนวิทยฐานะสูงขึ้นเท่านั้น

4. กรรมการที่ใช้ในการประเมินประจำปีเพื่อเลื่อนเงินเดือนและคงวิทยฐานะ จำนวน 3 คน ประกอบด้วย ผู้อำนวยการสถานศึกษา และอีก 2 คน จากผู้ที่มีคุณสมบัติเป็นศึกษานิเทศก์หรือเคยเป็นศึกษานิเทศก์ (วิทยฐานะไม่ต่ำกว่าชำนาญการพิเศษ) ผู้สอนในสถาบันอุดมศึกษา (ไม่ต่ำกว่าผู้ช่วยศาสตราจารย์) ครูผู้สอน (ไม่ต่ำกว่าชำนาญการพิเศษ) ผู้ทรงคุณวุฒินอกสถานศึกษา (มีความรู้ความเหมาะสม)

ส่วนกรรมการที่ใช้ในการประเมินเพื่อเลื่อนวิทยฐานะ ก.ค.ศ. จะคัดเลือกผู้ประเมินไว้ตามคุณสมบัติและจะมีการสุ่มผู้ประเมินจากระบบของ ก.ค.ศ. ส่วนประเด็นรอบการประเมินไม่สอดคล้องกันระหว่างปีงบประมาณกับปีการศึกษา และประเด็นเกณฑ์การลดเวลาขอเลื่อนวิทยฐานะ ก.ค.ศ. รับไปพิจารณา 

พร้อมนี้คณะกรรมาธิการการศึกษาและตัวแทนครูได้ร่วมกันอภิปราย แสดงความคิดเห็นกันอย่างหลากหลายเพื่อหารือทำความเข้าใจร่วมกัน ทั้งนี้ รศ.ดร. สุรวาท ทองบุ กรรมาธิการการศึกษา ได้ให้ข้อเสนอต่อ ก.ค.ศ. และ สพฐ. เพื่อพิจารณาเพิ่มเติม ดังนี้

1. ควรเร่งสร้างความเข้าใจระหว่างผู้กำหนดเกณฑ์และผู้ใช้เกณฑ์ให้ตรงกัน

2. ควรทำไฟล์นำเสนอวีดิทัศน์ตัวอย่าง

3. ควรปรับเกณฑ์เพื่อใช้สำหรับโรงเรียนที่ขาดแคลนบุคลากรเป็นการเฉพาะโดยให้คะแนนจากการปฏิบัติงานอื่นด้วย

4. เกณฑ์การประเมินเน้นที่ผลลัพธ์การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นกับนักเรียนควรให้มีสัดส่วนที่สูงขึ้นและเน้นผลที่เกิดขึ้นเป็นปกติธรรมดา (Normally)

5. เกณฑ์การประเมินต้องกระตุ้นไม่ให้แช่แข็ง ขึ้นหิ้ง หรือจมปักอยู่ที่ชำนาญการพิเศษเหมือนที่เป็นอยู่ขณะนี้ 6. ควรปรับหลักเกณฑ์และวิธีการเรื่องอื่น ต้องไม่ส่งเสริมให้ สะสมแฟ้ม โล่ รางวัล ป้ายไวนิล ฟิวเจอร์บอร์ด และการขึ้นป้ายรอบรั้วโรงเรียน เช่น เกณฑ์การคัดเลือกเพื่อแต่งตั้ง ย้ายของผู้บริหารและครู เป็นต้น

7. ยกเลิกประเพณีการต้อนรับผู้ประเมินอันเป็นการยุ่งยากสิ้นเปลื้อง เช่น การขึ้นป้ายต้อนรับ การจีบผ้าประดับ จัดเลี้ยง ของที่ระลึกหรือของกำนัลทั้งหลาย และการประเมินในห้องประชุมหรือห้องจัดแสดงผลงานเปลี่ยนเป็นการประเมินในห้องเรียนจริง

ที่มา ; FB รศ.ดร. สุรวาท ทองบุ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล

Leave a Reply